แนวโน้มและ 4 โอกาสการลงทุนในไตรมาส 2 นี้

แนวโน้มและ 4 โอกาสการลงทุนในไตรมาส 2 นี้

แนวโน้มและ 4 โอกาสการลงทุนในไตรมาส 2 นี้ 

ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างติดตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed อย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่ทั้งเร็ว และแรงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980

ปัจจุบันนโยบายการเงินที่เข้มงวดต่างๆ เริ่มส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจแล้ว เราจึงเริ่มเห็นว่าความกังวลของนักลงทุนได้เปลี่ยนจากเรื่องอัตราเงินเฟ้อไปสู่ประเด็นการเติบโตทางเศรษฐกิจแทน

สำหรับไตรมาส 2 ของปีนี้ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อสินทรัพย์ต่างๆ และพอร์ตการลงทุนของคุณอย่างไร

เราขอสรุปผ่าน 4 แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้านี้

1) การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอาจชะลอตัวลงอีก ในเดือนมี.ค. ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐต่างชะลอตัวลง เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสหรัฐ (PMI) ได้ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 3 ปี การใช้จ่ายผู้บริโภคเริ่มชะลอตัวลง การขอรับสวัสดิการ การว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นแม้ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ฯลฯ

อีกทั้งในภาพใหญ่เศรษฐกิจยังเจอผลกระทบจากกรณีแบงก์ล้มที่อาจลามไปสู่ธนาคารขนาดเล็กในสหรัฐ และการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง ซึ่งการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นนี้ยังเกิดขึ้นในยุโรปด้วย โดยข้อมูลในอดีตพบว่าเมื่อการปล่อยสินเชื่อมีความเข้มงวดมากขึ้น มักเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมา

ทั้งนี้ แม้การชะลอตัวทางเศรษฐกิจอาจสร้างความกังวลเพิ่มขึ้นให้กับนักลงทุน แต่นี่คือ ผลลัพธ์ที่ธนาคารกลางต่างๆ ต้องการให้เกิดขึ้นเพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ

2) เราอาจเริ่มเห็นจุดสิ้นสุดของนโยบายการเงินที่เข้มงวดจากธนาคารกลางต่างๆ เพราะเมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง เงินเฟ้อมักจะปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งในตอนนั้นธนาคารกลางต่าง จะหันมากระตุ้นเศรษฐกิจแทน

โดยปัจจุบัน ตลาดคาดว่าจะเห็นธนาคารกลางสหรัฐ​ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ยังอยู่ในระดับสูง จึงมีความเป็นไปได้มากกว่าที่ Fed จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย แทนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างที่ตลาดคาดไว้

3) เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัวแต่อาจไม่มากพอที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกจากการชะลอตัว แม้ไตรมาส 1/2566  นี้ GDP ของจีนจะโตถึง 4.5% YoY แต่แนวโน้มการฟื้นตัวนี้ยังไม่ชัดเจน เพราะการฟื้นตัวนี้มาจากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหลังการยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายหมวดสินค้า และบริการภายในประเทศ ดังนั้นการเติบโตนี้อาจไม่ได้ส่งผ่านไปสู่เศรษฐกิจประเทศอื่นๆ เหมือนในอดีต

4) ดอลลาร์สหรัฐอาจมีเสถียรภาพมากขึ้นเมื่อใกล้ถึงจุดจบวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของ Fed โดยตั้งแต่ปี 2565 ที่ Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งเร็ว และแรง รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ ทำให้เห็นเม็ดเงินไหลเข้าในสินทรัพย์ที่เป็น USD และทำให้ USD แข็งค่าขึ้น แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นการอ่อนค่าลงมากกว่า 10% จากจุดสูงสุดในเดือนก.ย.2565

ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงจุดจบวงดอกเบี้ยขาขึ้น อาจทำให้ USD ผันผวนน้อยลง และเคลื่อนไหวในกรอบที่แคบลง ซึ่งอาจทำให้สกุลเงินอื่นๆ ผันผวนน้อยลงด้วย และเคลื่อนไหวจากปัจจัยในประเทศมากขึ้น

ทั้งนี้ เพื่อรับมือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นมากมาย เรายังคงมองว่าการปรับพอร์ตให้มีลักษณะ Defensive มากขึ้นยังเป็นสิ่งที่จำเป็น โดย StashAway ได้ทำการ Re-optimisation ครั้งล่าสุดในเดือนธ.ค. 2565 ตามข้อมูลทางเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเราเริ่มเข้าสู่ภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจหดตัว แต่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง)

ที่สำคัญ ในไตรมาส 2/2566 เรายังคงมองเห็น 4 โอกาสการลงทุน ได้แก่

● ตราสารหนี้ระยะสั้น ยังมีความน่าสนใจเนื่องจากปัจจุบันมี Yield ที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่

● ตราสารหนี้ระยะยาวอาจเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อตลาดเริ่มเห็นแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยปกติแล้วเมื่อ Yield และความผันผวนของตราสารหนี้ไม่ปรับตัวสูงขึ้น ถือเป็นข่าวดีของนักลงทุน (เนื่องจากราคา และ Yield ของตราสารหนี้มักเคลื่อนไหวสวนทางกัน)

● ทองคำ ยังเป็นสินทรัพย์สำคัญในการปกป้อง และสร้างสมดุลให้กับพอร์ตท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาด อย่างที่เราเห็นกันในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

● หุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง Healthcare และ Consumer Staples มีแนวโน้มจะ Outperform มากกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากนักลงทุนหันไปหาหุ้นกลุ่มที่ปลอดภัยกว่า

● สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และกลุ่มตลาดเกิดใหม่อย่างจีน รวมถึงดอลลาร์สหรัฐที่มีเสถียรภาพมากขึ้นทำให้เราเห็นโอกาสในการกระจายการลงทุน ซึ่งเป็นเหตุผลที่เรายังคงสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ไว้

แม้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้าอาจมีความไม่แน่นอนสูง แต่เศรษฐกิจมักดำเนินไปเป็นวัฏจักรอยู่เสมอ โดยจะมีทั้งช่วงที่เติบโต และหดตัวเกิดขึ้นในบางช่วงเวลา

ดังนั้น นักลงทุนควรโฟกัสในการลงทุนระยะยาวรวมถึงมีการกระจายการลงทุนที่ดี เพื่อเป็นตัวช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้สำเร็จ ที่สำคัญยังช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างสบายใจ แม้จะต้องเจอกับความผันผวนในระยะสั้น

แหล่งที่มา

https://www.bangkokbiznews.com/ 

 

รับจดทะเบียนบริษัท,รับทำบัญชี,รับจดทะเบียนบริษัท ราคาถูก,รับจดทะเบียนบริษัท ทั่วไทย,รับจดทะเบียน ออนไลน์,รับจดทะเบียนบริษัท ต่างชาติ,รับจดทะเบียนบริษัท ด่วน,รับจดทะเบียนบริษัท ร้านค้า,รับจดทะเบียนบริษัท คนเดียว , รับจดทะเบียนบริษัท ที่ไหน , รับจดทะเบียนบริษัท ช่วงโควิด-19 , รับจดทะเบียนบริษัท ท่องเที่ยว , รับจดทะเบียนบริษัท ก่อสร้าง , จดทะเบียนบริษัท ที่ไหนดี , จดทะเบียนบริษัท ทำอย่างไร